กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยEnglish
หน้าหลัก ข่าวสารหน่วยงาน ก.วิทย์ฯ นำ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) แก้ปัญหาการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก

ก.วิทย์ฯ นำ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) แก้ปัญหาการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก

พิมพ์ PDF


กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมนำผลงานวิจัยและพัฒนา ลดการระบาดของยุงลายและไข้เลือดออก โดยมีผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเกล็ดซีโอไลท์ ชุดตรวจไวรัสเดงกี่ วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก จุลินทรีย์กำจัดลูกน้ำ สเปร์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง มุ้งนาโน หินแก้วรูพรุนไล่ยุง โปรแกรมทันระบาด และการฉายรังสีในการทำหมันยุงลาย 
 
  ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงกรณีที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาอุปกรณ์ตบยุงไฟฟ้าให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ในงานประชาสัมพันธ์กิจกรรมรณรงค์ “ราษฎร์รัฐร่วมใจต้านภัยยุงลาย” ที่จัดขึ้นก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 นั้น ว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตระหนักถึงความห่วงใยของนายกรัฐมนตรีที่มีต่อประชาชน ที่ต้องการให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปมีส่วนพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะช่วงนี้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งมียุงลายเป็นพาหนะ 
  กระทรวงฯ มีงานวิจัยหลากหลายที่ใช้ในการจัดการยุงและโรคที่เกิดจากยุง เช่น การใช้รังสีทำหมันยุง สารชีวภาพกำจัดลูกน้ำยุง สเปรย์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง ชุดตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก วัคซีนไข้เลือดออก เป็นต้น นอกจากนี้มีผลงานที่ขอขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลาย ชนิดเกล็ดซีโอไลท์ ที่บริษัท อิคาริ เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งพัฒนาร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายชนิดเกล็ดซีโอไลท์นี้ คือ สามารถนำมาใช้แทนทรายอะเบท ซึ่งมีปัญหาที่ทำให้คนไม่อยากใช้ คือ มีกลิ่นเหม็นและน้ำเป็นฝ้า และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ดังนั้น จึงมีการวิจัยโดยใช้สารซีโอไลท์ (Zeolite) ที่มีรูพรุนหรือโพรงที่ต่อเชื่อมกันอย่างเป็นระเบียบในสามมิติมาจับคู่กับสารทีมีฟอสที่ใช้เคลือบทรายอะเบทในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยการเคลือบสารที่มีฟอสบนซีโอไลท์ด้วยเทคนิคเฉพาะจะสามารถลดกลิ่นเหม็นและคราบน้ำมันลงได้ จนสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลายได้เป็นผลสำเร็จ ขณะนี้ผลิตภัณฑ์นี้อยู่ระหว่างการพิจารณาขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จได้ภายในสัปดาห์นี้เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องการจัดซื้อเพื่อไปใช้ในการกำจัดลูกน้ำในแหล่งเพาะพันธุ์ยุง สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้โดยวิธีกรณีพิเศษ
 
   ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า สวทช. มีงานวิจัยภายใต้คลัสเตอร์สุขภาพและการแพทย์ เพื่อสร้างองค์ความรู้และผลิตภัณฑ์ที่สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองต่อการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำได้อย่างทันท่วงที และจากการระบาดของโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย และโรคจากไวรัสซิกา  โดย สวทช. ได้มีผลงานวิจัยเพื่อรับมือกับยุงและโรคจากยุง เช่น ชุดตรวจโปรตีน NS1 ของไวรัสเด็งกี่ที่แยกซีโรทัยป์ได้ทันที สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาชุดตรวจโปรตีน NS1 ไวรัสเด็งกี่ที่แยกซีโรทัยป์ได้ทันที ในการรักษาหากรู้เรื่องของซีโรทัยป์ของไวรัสเด็งกี่ที่ติดเชื้อในผู้ป่วย จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ทันทีในการรักษา หรือให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงของโรค จนถึงขั้นช็อคและเสียชีวิต โดยชุดตรวจโปรตีน NS1 ของไวรัสเด็งกี่ฯ นี้ ช่วยลดระยะเวลาและราคาการตรวจ แต่เดิมใช้วิธีทำ RT-PCR หรือการเพาะเชื้อไวรัสเด็งกี่ในเซลล์เพาะเลี้ยง ซึ่งมีความซับซ้อน ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง เทคโนโลยีนี้เปิดรับผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาตใช้สิทธิหรือร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ 
   
  นอกจากนี้ยังสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนโรคไข้เลือดออก ซึ่ง สวทช. ร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันเครือข่าย จุฬา มหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไบโอเทค ดำเนินงานวิจัยวัคซีนไข้เลือดออกตั้งแต่ปี 2543 โดยดำเนินงานทั้งวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ วัคซีนชนิดดีเอ็นเอ และวัคซีนชนิดอนุภาคเสมือนไวรัส ขณะนี้สร้างวัคซีนตัวเลือก ได้ครบทั้ง 4 ซีโรทัยป์แล้ว และผ่านการทดสอบในหนูทดลองแล้วพบว่าได้ผลดี ปัจจุบันเครือข่ายกลุ่มวิจัยได้ออกแบบกลยุทธ์ เพื่อใช้วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ร่วมกับวัคซีนดีเอ็นเอ หรือวัคซีนอนุภาคเสมือน ในลักษณะ prime-boost และได้ทำการทดสอบประสิทธิผลเบื้องต้นของการให้วัคซีนแบบดังกล่าวในลิง พบว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ผล โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเด็งกี่ในทุกซีโรทัยป์ได้ในระดับสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับการใช้วัคซีนเพียงชนิดเดียว ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิผลของการใช้วัคซีนลักษณะดังกล่าวในลิงจำนวนมากขึ้น โดยจะมีการฉีดเชื้อไวรัสหลังการฉีดวัคซีน เพื่อศึกษาประสิทธิผลด้านการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตามผลการทดสอบเบื้องต้นนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวัคซีนที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อทำการทดสอบในอาสาสมัคร ระยะที่ 1 ต่อไปในปี 2560 นี้
 
  ผู้อำนวยการ สวทช. ยังกล่าว กล่าวต่อไปว่า ในระหว่างที่นวัตกรรมด้านวัคซีนและยายังอยู่ในระหว่างดำเนินการ การกำจัดยุงซึ่งเป็นพาหะนำโรคดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ตรงจุดและรวดเร็วที่สุดในขณะนี้  ปัจจุบันการควบคุมตัวยุง ใช้สารเคมีหรือหมอกควันไล่ยุง อาจกำจัดยุงได้ไม่มากนัก  การควบคุมประชากรยุงจึงควรควบคุมที่ระยะลูกน้ำควบคู่กันไป การใช้จุลินทรีย์กำจัดลูกน้ำถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการใช้สารเคมี เนื่องจากมีความปลอดภัยและต้นทุนต่ำกว่า  Bacillus thuringiensis sub.sp. Israelensis (Bti)  Bacillus sphaericus (Bs) เป็นแบคทีเรียที่สร้างสารพิษฆ่าลูกน้ำยุงลาย และยุงรำคาญ และยุงก้นปล่องได้ ไม่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ใช้ในการกำจัดลูกน้ำยุงในแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้อย่างปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่ใช่สารเคมีไม่มีฤทธิ์ตกค้างเหมือนการใช้สารเคมี จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพทางภาคสนามโดยกรุงเทพมหานครและมหาวิทยาลัยมหิดล ว่าสามารถควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงได้นาน 2 เดือน และประชาชนในพื้นที่มีความพึงพอใจที่ปริมาณยุงตัวเต็มวัยในช่วงนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด  ปัจจุบันสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้จากบริษัท TFI Green Biotechnology ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์จาก สวทช. แล้ว โดยคณะผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะการใช้งานควบคุมยุง และลูกน้ำที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์ Bs ร่วมกับ Bti ทุก 5 สัปดาห์ และตามด้วยฉีดพ่นหมอกควันกำจัดยุงตัวแก่ ภายหลังการฉีดพ่นจุลินทรีย์เป็นเวลา 2-3 วัน น่าจะทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีจำนวนยุงลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้ถึง 2 เดือน
  สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยี ยังได้พัฒนา สเปรย์นาโนอิมัลชั่นสมุนไพรไล่ยุง โดยใช้เทคโนโลยีป้องกันการระเหยของน้ำมันหอมระเหย หรือที่เรียกว่า เทคโนโลยีการกักเก็บ (Encapsulation Technology) โดยใช้องค์ประกอบนาโนเก็บกักน้ำมันหอมระเหยที่มีประสิทธิภาพในการไล่ยุง จึงทำให้ได้สูตรตำรับนาโนอิมัลชั่นที่มีฤทธิ์ไล่ยุงและมีความคงตัวของน้ำมันหอมระเหยได้นาน อย่างน้อย 3.5 - 4.5 ชั่วโมง และยังช่วยปกป้องผิวหนังได้อย่างอ่อนโยน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิวหนัง ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิคแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวหนัง อีกทั้งสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น สเปรย์ไล่ยุงเนื้อเบา โลชั่นไล่ยุง แผ่นแปะไล่ยุง นอกจากนั้น นาโนเทค / สวทช. ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับไล่ยุงอีกหลายหลาย เช่น มุ้งนาโน โดยได้พัฒนาสารสกัดเลืยนแบบสารเก๊กฮวย ดาวเรือง และนำมาเคลือบเส้นใยสำหรับทำมุ้งนาโน ซึ่งเมื่อยุงสัมผัสสารเคลือบดังกล่าว จะทำให้ยุงเป็นอัมพาต และตายในที่สุด อีกทั้งยังได้คิดต้น หินแก้วรูพรุนไล่ยุง โดยใช้เทคโนโลยีนาโนในการกักเก็บกลิ่นตะไคร้หอมไว้ในหินแก้วรูพรุน ทำให้สามารถไล่ยุงได้นานกว่า ๒ เดือน
  นอกเหนือจากการไล่ยุงแล้ว สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาซอฟต์แวร์สนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคระบาดของโรคไข้เลือดออกในเชิงรุก ที่เรียกว่า โปรแกรมทันระบาด โดยพัฒนาระบบการสำรวจจำนวนลูกน้ำยุงลายในพื้นที่แบบ mobile application ทำให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ ซึ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงระบาดวิทยาและข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ทำให้สามารถนำไปวิเคราะห์ได้ตามมุมมองของผู้งานและจัดทำรายงานได้อย่างอัตโนมัติ โดยมีคุณสมบัติเด่น คือ ทำงานบนแท็บเล็ตแอนดรอยด์  รองรับการบันทึกข้อมูลการสำรวจในรูปข้อความและภาพถ่าย แบบ On-line และ Off-line  อ้างอิงพิกัดสถานที่สำรวจลูกน้ำยุงลายด้วยเทคโนโลยี GPS แสดงผลรายงานพิกัดสถานที่สำรวจลูกน้ำยุงลายบนแผนที่ Google Map พร้อมแสดงบ้านที่พบและไม่พบลูกน้ำยุงลาย ถ่ายโอนข้อมูลการสำรวจไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายอย่างอัตโนมัติ ประมวลผลสถานการณ์การระบาดฯและดัชนีทางกีฏวิทยาแบบ real-time  ทั้งนี้ การดำเนินงานสำรวจและทดสอบระบบในเบื้องต้น ได้ดำเนินงานร่วมกับ สคร. 13 ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่ทดสอบไปยังจังหวัดอื่นๆ
  ในด้านการฉายรังสีทำหมันยุงลาย ดร.กนกพร บุญศิริชัย หัวหน้าโครงการวิจัยด้านชีววิทยาประยุกต์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ได้เปิดเผยว่า หลังจากมีการเผยแพร่เรื่องการทำหมันยุงเพื่อลดปริมาณยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา ไวรัสซิก้า ไวรัสเดงกี ซึ่งโรคดังกล่าวทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชนนั้น กระทรวงฯ โดย สทน. ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อการทำหมันแมลง พร้อมสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ และห้องปฏิบัติการฉายรังสี เพื่อฉายรังสียุงลาย และร่วมทดสอบในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้สามารถผลิตยุงลายที่เป็นหมันให้เพียงพอ ต่อการลดจำนวนยุงลายในธรรมชาติ และทำให้การเกิดโรคที่ยุงลายเป็นพาหะลดลง โดย สทน. จะรับผิดชอบในขั้นตอนการฉายรังสีให้ยุงลายเป็นหมัน ซึ่งหน้าที่นี้เป็นขั้นตอนสำคัญ และถือว่าเป็นความเชี่ยวชาญของ สทน. และประสบความสำเร็จในการฉายรังสีแมลงวันผลไม้ จนสามารถพัฒนาพันธุ์แมลงวันผลไม้ที่เป็นหมันที่เป็นพันธุ์เฉพาะของประเทศไทยได้  มีโรงเลี้ยงแมลงและฉายรังสีแมลงขนาดใหญ่พร้อมฉายรังสีแมลงหรือยุงในปริมาณมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ห้องปฏิบัติการฉายรังสีแห่งนี้ได้รับการรับรองจาก ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ให้เป็นปฏิบัติการฉายรังสีในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย และ สทน. มีความพร้อม 100% ในการร่วมปฏิบัติงานในโครงการทำหมันยุงครั้งนี้
 
 

ประสานงานได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์  
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3727 - 3732  โทรสาร 0 2333 3834
e-mail : อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน              
Facebook : sciencethailand 
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร.1313
 

 

 
หน่วยงานในสังกัดกระทรวง
สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน)

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป