กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยEnglish
หน้าหลัก ข่าวสารหน่วยงาน ผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ชี้การสร้างการยอมรับของประชาชนสำคัญที่สุดสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศไทย

ผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ชี้การสร้างการยอมรับของประชาชนสำคัญที่สุดสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศไทย

พิมพ์ PDF

 

      สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ ภาควิชารังสีประยุกต์และไอโซโทป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดเวทีเสวนา “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลอดภัยจริงหรือ”  เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์และเตรียมความพร้อมในการวางแผนพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยได้มีวิทยากรเข้าร่วมการเสวนา ประกอบด้วย  ดร.นทีกูล เกรียงชัยพร หัวหน้าแผนกปฏิกรนิวเคลียร์ ฝ่ายวิศวกรรมนิวเคลียร์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดร.ปิยธิดา ไตรนุรักษ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดร.ไชยยศ สุนทราภา วิศวกรนิวเคลียร์ชำนาญการจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) อาจารย์ศศิน  เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และดร.สุนทร คุณชัยมัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมเมจพลัส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดยมี ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช  รองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  ดำเนินรายการ

 
 
        ที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยพล.ต.ชัยณรงค์ เชิดชู นายกสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทยได้หยิบยกคำกล่าวของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่าการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำเป็นต้องเริ่มต้นศึกษาผลกระทบในมิติต่างๆ ตั้งแต่วันนี้  และวางแผนสำหรับอนาคต โดยต้องมองทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กันไป และให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งประเทศพยายามช่วยเหลือกัน
 
        ดร.นทีกูล กล่าวว่า ประเทศไทยมีความต้องการพลังงาน  60,000 เมกกะวัตต์ ในขณะที่กำลังผลิตของไทยอยู่ที่ 35,000 เมกกะวัตต์ โดยในช่วงมกราคมถึงเมษายนของปีนี้ ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ถึงร้อยละ 70 ในขณะที่ผลิตจากถ่านหินลิกไนต์เพียงร้อยละ 17  และพลังงานหมุนเวียนรวมร้อยละ 10 ในจำนวนนี้ร้อยละ 2.2 มาจากพลังงานน้ำของไทย และร้อยละ 5.1  มาจากพลังงานน้ำของลาว  สำหรับการเตรียมแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้านั้น ได้คำนึงถึงสมดุลของ 3 มิติที่สำคัญได้แก่ ความมั่นคงในการผลิต  เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และราคาที่เหมาะสมซึ่งขึ้นกับเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตามคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ความต้องการพลังงานของประเทศไทย จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ซึ่ง กฟผ. ได้พิจารณาทางเลือกของการอนุรักษ์พลังงาน ของการหาพลังงานหมุนเวียนทางเลือก และการซื้อจากต่างประเทศควบคู่กันไป
 
        ด้าน ดร.ปิยธิดา กล่าวว่า หลักการทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คือการควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์จากธาตุยูเรเนียมให้ปลดปล่อยความร้อนในเตาปฏิกรณ์ได้อย่างเหมาะสม  โดยใช้ความร้อน เปลี่ยนน้ำเป็นไอน้ำความดันสูง และไปหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเทอร์ไบน์  โดยระบบเตาปฏิกรณ์ยุคใหม่ซึ่งพัฒนามาจากองค์ความรู้การกำกับดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กว่า 400 แห่งทั่วโลก มาใช้เพื่อความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบการรักษาความปลอดภัยได้รับการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องโดยการทำงานของเตาปฏิกรณ์จะหยุดทันทีเมื่อมีสัญญาณจากแผ่นดินไหว ความร้อนหรือความดันที่สูงเกินไป และปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เร็วเกินไป ซึ่งการผลิตพลังงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 1 ก้อน ซึ่งมีขนาด 7 กรัมหรือเทียบเท่าขนาดของยางลบที่ติดที่ปลายดินสอนั้น จะเทียบเคียงได้กับพลังงานที่ได้จากการใช้น้ำมันถึง 158 ลิตรหรือถ่านหินถึง 1 ตัน พร้อมทั้งยืนยันว่า พลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
 
 
         ขณะที่ ดร.ไชยยศ กล่าวว่า ปส. เป็นหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลโรงงานนิวเคลียร์ โดยทำงานยึดหลักกฎระเบียบ มาตรฐานสากลของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และยินดีทำงานตรวจสอบการดำเนินกิจการด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ร่วมกับประชาชน
 
         อาจารย์ศศิน กล่าวว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ได้ก่อปัญหาเหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ได้มีประเด็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากนัก แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตน แต่เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่จะต้องตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้า ประเด็นสำคัญคือเรื่องการสร้างความยอมรับของคนในพื้นที่มากกว่า ไม่ใช่การบอกข้อมูลความต้องการพลังงาน หรือเล่าเรื่องเทคโนโลยีให้ชาวบ้านฟัง ต้องนั่งจับเข่าคุยกันกับชาวบ้าน เพื่อให้เกิดการยอมรับ ต้องทำงานกับชาวบ้านอย่างจริงใจ
 
          ด้าน ดร.สุนทร ในฐานะผู้แทนภาคเอกชนกล่าวว่า คนไทยไม่คุ้นเคยและยังไม่พร้อมกับการสื่อสารที่มีความซับซ้อน ดังเช่นการสร้างการยอมรับของการตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การดำเนินการต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน อาจใช้โลกออนไลน์มาช่วยเพราะสังคมปัจจุบันกำลังก้าวสู่สังคมดิจิตอล ต้องทำกิจกรรมซีเอสอาร์ หรือกิจกรรมที่องค์กรแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาคม มีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ได้มีการจัดตั้งกองทุน ดึงรายได้จากการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เป็นกองทุนเพื่อการพัฒนาพื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้า ให้ประชาชนในบริเวณนั้นได้ประโยชน์ ให้ชุมชนได้ผลตอบแทน การสร้างการยอมรับต้องคำนึงถึงตรรกะ หรือลำดับความคิดความเป็นเหตุเป็นผล ต้องทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ให้การดำเนินการเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ
 
        ดร.วรวรงค์  กล่าวว่า โจทย์ของวันนี้คือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลอดภัยจริงหรือ ต้องแบ่งออกได้เป็นสองมิติ คือ 1. เชิงเทคโนโลยีซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจากประสบการณ์ของทั่วโลก รวมถึงเรื่องของการพัฒนากำลังคนทางด้านนี้ และ 2. เชิงการยอมรับทั้งในมุมของการจัดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และมาตรการป้องกันเหตุฉุกเฉินทางรังสี ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดการยอมรับ คือกระบวนการในการสร้างความมีส่วนร่วมของประชาชน และความจริงใจของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
 
เผยแพร่ข่าว : นางสาวศิริลักษณ์ สิกขะบูรณะ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3727 - 3732  โทรสาร 0 2333 3834
e-mail :     อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน
Facebook : sciencethailand
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร.1313
 
 
หน่วยงานในสังกัดกระทรวง
สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน)

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป