กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยEnglish
หน้าหลัก ข่าวสารหน่วยงาน การประชุมหารือแนวทางการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าอัญมณีและเครื่องประดับไทย

การประชุมหารือแนวทางการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าอัญมณีและเครื่องประดับไทย

พิมพ์ PDF

    ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เชิญนักธุรกิจภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมการค้าอัญมณี เข้าร่วมประชุมหารือแนวทางการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพื่อเป็นการยกระดับวงการอัญมณีไทย พัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าการส่งออกอัญมณีให้มากขึ้น โดยมี ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน รองประธานหอการค้าไทย ผู้บริหารบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการศูนย์ฉายรังสีอัญมณี สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณี และ ผู้ประกอบการธุรกิจภาคเอกชนภาคอุตสาหกรรมการค้าอัญมณี เข้าร่วมประชุมฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

      ประเทศไทยเป็นแหล่งอัญมณีสำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยอุตสาหกรรมการค้าอัญมณี และเครื่องประดับ ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยได้อย่างมหาศาลในแต่ละปี และได้รับการยกย่องทั้งในด้านคุณภาพและราคาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้าและเจียระไนพลอยและเครื่องประดับด้วยมือแห่งสำคัญของโลก มีความได้เปรียบและความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบที่หลากหลาย คุณภาพดี และราคาถูกจากต่างประเทศ รวมถึงมีแรงงานที่มีฝีมือและทักษะในการเจียระไนที่สูง ทำให้สินค้าไทยมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

    รัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญในการสนับสนุนต่อภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับที่มีความสำคัญ ซึ่งผู้ประกอบการชาวไทยสามารถพัฒนาชื่อเสียง ฝีมือให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกได้ การสร้างแบรนด์ การออกแบบ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาในอุตสาหกรรมนี้เชื่อว่าจะผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับของโลกอย่างแท้จริง เพื่อให้ภาคการผลิตสามารถเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ภาคเอกชนควรพิจารณาการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนิวเคลีย์ รังสี หรือการใช้แสงซินโครตรอนเพิ่มมูลค่าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย โดยเฉพาะปัจจัยที่จะทำให้ประเทศไทยเพิ่มมูลค่าการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกนั้นประกอบด้วย 4 เรื่องคือ 
     1. กลไกภาครัฐที่ต้องแก้ไขให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อรักษาฐานการค้าและดึงดูดการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น 
   2. ด้านแรงงานในภาคการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของไทยถือว่ามีประสบการณ์และฝีมือสะสมมานานแต่จะหยุดนิ่งไม่ได้ต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้โดยเฉพาะนำ วทน. เพื่อเพิ่มมูลค่า และส่งเสริมให้ทรัพยากรบุคคลก้าวหน้าไปอีกขั้น
    3. ต้องรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเดิมไว้ และจะต้องขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายสินค้าและลดความเสี่ยงจากการส่งออกไปสู่ตลาดหลัก 
   4. วัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงต้องมีการทบทวนกฎระเบียบและโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับต่อไป
     ในด้านของ ผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนได้ให้ความคิดเห็นต่อที่ประชุมว่า รัฐบาลได้สนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับด้วยการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบเพื่อเป็นการกระตุ้นการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในระยะยาว ทำให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบได้ จากการทำงานอย่างใกล้ชิดกันและรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการจึงทำให้สามารถร่วมกันขจัดปัญหาและอุปสรรคในการทำธุรกิจลุล่วงด้วยดี แต่สิ่งที่ยังต้องเดินหน้าพัฒนาต่อไปคือ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจที่ชัดเจนและแตกต่าง ในท่ามกลางลักษณะตลาดที่มีความหลากหลายสูง และเผชิญกับประเด็นความท้าทายต่างๆ ที่ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาในการรุกตลาดอาเซียน มีดังนี้
    1. คนอาเซียนชอบทองมากกว่าเงิน ไทยจึงอาจพิจารณารุกตลาดเครื่องประดับทองมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีความนิยมสูงและแนวโน้มเติบโตโดดเด่น เช่น บรูไน มาเลเซีย เวียดนาม และเมียนมาร์ 
   2. ไทยควรพิจารณายกระดับบทบาทจากการเป็นเพียงผู้ผลิตและส่งออก มาเป็นผู้ค้า ทั้งพลอย เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับทอง (โดยเฉพาะทองคำ 18-22k)
   3. ไทยควรผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA ให้มากขึ้น ทั้งในด้านการยกเว้นภาษีวัตถุดิบ และการส่งสินค้าเข้าไปขายในตลาด โดยการลด/ยกเลิกภาษีอากรจะทำให้สามารถเพิ่มโอกาสในการส่งออกไปยังอาเซียนได้เพิ่มขึ้น รวมถึงใช้เป็นกลไกประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาซื้อสินค้าในไทย 
   4. รักษาตลาดเดิม เรียนรู้ตลาด และปรับเทคนิคการตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกในอาเซียน เช่น การออกแบบ การพัฒนาช่องทางการจำหน่าย การพัฒนาตราสินค้า การจับคู่ธุรกิจ 
    5. สนับสนุนการยกระดับมาตรฐานสินค้า และพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งปรับมาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกัน ไทยอาจพิจารณาจัดตั้งสถาบันวิจัย หน่วยงานวิเคราะห์และตรวจสอบอัญมณี และการออกใบรับรองคุณภาพสินค้าเพื่อการส่งออก อันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้  
    6. กำหนดให้สินค้าเครื่องประดับเงิน และอัญมณีเจียระไน เป็นสินค้ากลุ่มหลักในการรุกตลาดคนรุ่นใหม่ที่เป็นวัยหนุ่มสาวและวัยทำงาน 
    7. รักษาและส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการสร้างคุณค่าในระดับธุรกิจและอุตสาหกรรม 
    8. ส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนไทยพัฒนาความร่วมมือ เพื่อเน้นลการรุกตลาดอาเซียนมากขึ้น 
   9. พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนไทยและเอกชนของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศคู่ค้า 
   10. ส่งเสริมแรงงานให้มีการพัฒนาฝีมือเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ควบคู่กับการดำเนินมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้แรงงานไม่ย้ายไปทำงานนอกประเทศ 
    11. จัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานสากลและเพิ่มความหลากหลายและมูลค่าสินค้า

ข่าวโดย : นางสาวนีรนุช ตามศักดิ์
ภาพข่าวโดย : นายรัฐพล หงสไกร
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3727 - 3732  โทรสาร 0 2333 3834
e-mail :   อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน
Facebook : sciencethailand
 
 
 
 
หน่วยงานในสังกัดกระทรวง
สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน)

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป