วันนี้ (13 กรกฎาคม 2553) เวลา 15.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "การแก้ปัญหาวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรม (Green Thailand) ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา โดยกำหนดพื้นที่มาบตาพุดเป็นพื้นที่นำร่อง นับเป็นครั้งแรกในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรม ที่ได้บูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและภาคอุตสาหกรรม และได้นำผู้เชี่ยวชาญไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมแก้ปัญหา
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรม ว่า รู้สึกยินดีป็นอย่างยิ่งที่รัฐมนตรีว่าการทั้ง 4 กระทรวง คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมมือกับ สภาอุตสหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมนักวิชาชีพไทยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรม และการจัดให้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการแก้ปัญหาวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุตสาหกรรมในวันนี้
การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเป็นการพัฒนาที่มีความสมดุล ไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทย แต่ในทุกๆประเทศซึ่งมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และการแปลงสภาพของสังคมจากเดิมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม โดยมีผลกระทบตามมา แม้ว่าในเบื้องต้นจะประสบความสำเร็จในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้แก่ประชาชน แต่ว่าเมื่อการพัฒนาขยายตัวไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะเกิดผลที่ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากว่าไม่ได้รับการแก้ไข จะย้อนกลับมาทำลายขีดความสามารถและศักยภาพการพัฒนาโดยเฉพาะช่วงหลังยิ่งชัดเจนขึ้นว่า การที่เราแก้ไขปัญหา คือ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว มักจะไม่ทันการและสำคัญที่สุดคือ ส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่เป็นลบในเรื่องการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม ความไว้วางใจที่พึงจะมีระหว่างอุตสาหกรรมชุมชน และเอื้อประโยชน์กันกลับต้องเกิดปัญหาความขัดแย้ง
ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรม ในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มเกิดปัญหาความขัดแย้งมากขึ้นระหว่างประชาชน ชุมชนกับภาคอุตสาหกรรม กรณีของมาบตาพุดเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นได้
รัฐบาลแน่วแน่ที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน และเริ่มวางแนวทางในอนาคตไม่เพียงแต่ปัญหาที่เกิดในมาบตาพุดเท่านั้นแต่ในพื้นที่อื่นๆ ด้วยที่เราจะต้องพัฒนาต่อไป เช่น พื้นที่ในภาคใต้ เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการพิจารณาแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ เพราะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว วิถีชีวิตของประชาชน และชุมชนในพื้นที่ ดังนั้น แนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน
การแก้ไขปัญหากรณีของมาบตาพุดนั้น ฝ่ายต่างๆต้องเข้ามามีส่วนร่วม 4 ฝ่าย ทั้งจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาชนและภาควิชาการ แม้ว่าความสนใจจะมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาในเชิงข้อกฎหมายเกี่ยวกับโครงการต่างๆที่ค้างอยู่ แต่จริงๆแล้ว กรรมการทั้ง 4 ฝ่าย ทำงานมากกว่านั้น คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันปัญหาที่มาบตาพุดด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านมลพิษทางอากาศ ผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน นอกจากความร่วมมือจากหลายกระทรวงแล้วสิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนคือ การขาดความรู้ ประสบการณ์ ทางวิชาการโดยเฉพาะโครงสร้างการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมายังขาดกรอบการแก้ไขในภาพรวม ถ้าเราไม่กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาที่ดี ที่สุดเมืองนั้นก็จะเข้าสู่ยุคที่มีความเสื่อมโทรม เสียค่าใช้จ่ายมหาศาลและเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟู
หวังว่าประสบการณ์ที่คนไทยไปสั่งสมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา จะมีบทบาทสำคัญช่วยประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคนในด้านนี้ด้วย
ขอขอบคุณทุกกระทรวงที่ให้ความร่วมมือจัดทำข้อตกลงในวันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การดำเนินการครั้งนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่เพียงแต่การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆของภาครัฐ แต่การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาควิชาการ รวมถึงพี่น้องประชาชน คนไทยซึ่งมีความรู้ ความสามารถ มามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ได้ และนำไปสู่ความเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมและความไว้วางใจที่จะกลับคืนมา
อนึ่ง การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดผลกระทบทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาภาวะมลพิษอย่างมากมายบริเวณโดยรอบพื้นที่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในพื้นที่มาบตาพุด ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่และสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยโดยรอบพื้นที่ ดั้งนั้น ด้วยความร่วมมือทั้ง 6 ภาคี ภายใต้กรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี ( 13 กรกฎาคม 2553 - 12 กรกฎาคม 2556) โดยผลลัพธ์ของโครงการจะเป็นระบบการจัดการสารอันตรายและวัสดุเคมีที่ถูกต้อง ระบบการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ระบบเฝ้าระวังตลอดจนเทคโนโลยีสะอาด เทคโนโลยีฟื้นฟูการปนเปื้อนจากสารเคมีและของเสียอันตราย รวมถึงพัฒนาบุคลากรด้านการจัดการสื่งแวดล้อม
ขอบเขตของหน่วยงานในการดำเนินการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คือ
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเร่งดำเนินการในส่วนของการดำเนินการร่วมวิจัย และประสานงานกับสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
กระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเร่งดำเนินการในส่วนของการศึกษาวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหา การกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน
| กระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งดำเนินการในส่วนของการจัดทำมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม สร้างความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และภาควิชาการ เพื่อส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
กระทรวงศึกษาธิการ จะเร่งดำเนินการในส่วนของการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ศึกษาวิจัยการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม มลพิษ และของเสียอันตราย และสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิชาการและการพัฒนาบุคลากรเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะเร่งดำเนินการในส่วนของการสนับสนุนด้านงบประมาณ การสนับสนุนด้านข้อมูลและการดำเนินงานในพื้นที่ และระดมความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการ และภาครัฐ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา หรือ ATPAC จะเร่งดำเนินการในส่วนของการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากร ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ และดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการลดมลพิษ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ลดการทำงานที่ซับซ้อน มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการลงทุนกลับคืนสู่ประเทศต่อไป
เขียนข่าวและถ่ายภาพโดย : นางสาวอุษา ขุนเปีย กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ โทร 0 2333 3700 ต่อ 3732