เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมที่ปรึกษา เลขานุการรัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวง และสื่อมวลชน เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) พร้อมเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าชีวมวลเฉลิมพระเกียรติฯ และโรงปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา
โดยนายวีระพงษ์ แพสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนฯ ได้รายงานถึงสถานภาพเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนว่า เครื่องที่มีอยู่นับเป็นเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถกับเก็บอิเล็กตรอนในวงแหวนให้โคจรเป็นวงกลมที่ระดับพลังงาน 1.2 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์ (GeV) นาน 12 ชั่วโมง โดยความเข้มของแสงซินโครตรอนมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 20,000 เท่า ปัจจุบันมีสถานีลำเลียงแสง 3 สถานี ได้แก่ สถานี PES (Photo Emission Spectroscopy) ใช้ประโยชน์ในการดูพฤติกรรมของอิเล็กตรอน สถานี XAS (X-ray Absorption Spectroscopy)) ใช้ประโยชน์ในการจำแนกชนิดของธาตุ รวมทั้งชนิดของประจุธาตุนั้นๆ ได้ และสถานี X-ray Lithography ซึ่งใช้ประโยชน์รังสีเอ็กซ์ (Soft X-ray) เพื่อสร้างวัสดุขนาดจิ๋ว และขณะนี้กำลังก่อสร้างอีก 3 สถานี ทั้งนี้ ทางสถาบันฯ เตรียมแผนพัฒนาศักยภาพของเครื่องกำเนินแสงซินโครตรอน ในปี 2552 โดยเตรียมพัฒนาระบบลำเลียงแสงให้มีความเข้มสูงขึ้น 2,000 เท่า และระบบผลิตลำแสงที่มีพลังงานสูงขึ้นจะมีความยาวคลื่นสั้นลง ทั้งนี้รองรับระบบลำเลียงแสงได้ 8 สถานี
ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ตนเองคุ้นเคยกับเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนเป็นอย่างดี เมื่อหลายปีก่อนที่ยังศึกษาได้ทำศึกษาวิจัยในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเมื่อฟังจากรายงานเห็นได้ว่างานวิจัยของสถาบันฯ ก้าวหน้าไปมากในช่วงเวลา 12 ปี คิดว่าจะพยายามผลักดันงบพัฒนาด้าน ว และ ท ให้เพิ่มขึ้น เพื่อจะนำมาพัฒนาโครงการของสถาบันให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ในโอกาสเดียวกันนี้ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมศึกษาการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าชีวมวลเฉลิมพระเกียรติฯ และโรงปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ณ ฟาร์มของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อพิจารณาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับนำไปปรับใช้กับโครงการหมู่บ้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่กำลังเร่งดำเนินการให้สำเร็จตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าชีวมวลของมหาวิทยาลัยฯ มีขนาดกำลังการผลิต 200 กิโลวัตต์ สามารถใช้ได้กับชุมชนขนาด 200-400 ครัวเรือน เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลครบวงจร กล่าวคือ ทางมหาวิทยาลัยส่งเสริมให้มีการปลูกกระถินยักษ์เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้า เศษวัสดุเหลือใช้สามารถนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล เช่น ถ่านอัดแท่ง การทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ดังนั้น นอกจากชุมชนจะได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูกแล้ว ยังมีรายได้จากการขายเชื้อเพลิงชีวมวล ปุ๋ยอินทรีย์และการปลูกกระถินยักษ์ขายได้อีกด้วย จึงถือได้ว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบโครงการธุรกิจชุมชนที่ครบวงจรที่สามารถสร้างงาน รายได้ และคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี และหลังจากเยี่ยมชมกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ได้เดินทางไปดูสถานที่สำหรับจัดตั้งหอดูดาวภูมิภาค พร้อมปลูกต้นไม้เป็นที่ระลึกในบริเวณดังกล่าว ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี