![]() |
![]() |
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) และจะต้องเชี่อมโยงประสานพลังกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งเป็นที่มาของคณะทำงานร่วมประชารัฐ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ปัจจุบันกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีมาตรการในหลายๆ ด้านเพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนในการลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ซึ่งเป็นกลไกหลักในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน โดยออกแบบให้เหมาะกับขนาดธุรกิจ ได้แก่ มาตรการยกเว้นภาษี 300% สำหรับค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่นวัตกรรม มาตรการลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบการ SME ให้เหลือ 10% ในระยะเวลา 2 รอบบัญชี มาตรการยกเว้นภาษีนิติบุคคล ระยะเวลา 5 รอบบัญชีสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ในกลุ่ม New Growth Engine การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ จำนวน 2,000 ล้านบาท การตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแบบครบวงจร ภายใต้ความร่วมมือของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และภาคเอกชน โครงการคูปองนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนกลุ่มธุรกิจ SME ให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรม โดยมีงบประมาณสนับสนุนในรูปแบบคูปอง โครงการบัญชีนวัตกรรม
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ได้ประกาศผลการสำรวจการวิจัยและพัฒนา และกิจกรรมนวัตกรรม ประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลสถิติและดัชนีชี้วัดด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของประเทศ โดยตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมา มีจำนวน 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.48% ของจีดีพี โดยมีสัดส่วนในการลงทุนภาคเอกชนต่อภาครัฐ 54 : 46 สำหรับตัวเลขการลงทุนวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน จำนวนเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท จากจำนวนผู้ประกอบการกว่า 5,500 ราย สถิติการลงทุนภาคเอกชนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ถึง 29% ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีมากที่ภาคเอกชนตื่นตัวและเห็นประโยชน์ของการพัฒนาธุรกิจด้วย วทน. สำหรับตัวเลขบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา มีจำนวน 84,216 คน เพิ่มมากขึ้นกว่า 20% คิดสัดส่วนบุคลากรวิจัยและพัฒนา 13 คน ต่อประชากร 10,000 คน จากสถิติดังกล่าว ชี้วัดความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนากำลังคนด้าน วทน. ที่ กระทรวงฯ ได้ผลักดัน เช่น โครงการส่งเสริมบุคลากรด้าน วทน. ภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) หรือโครงการพัฒนากำลังคนสะเต็มที่ยกระดับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) เป็นต้น
![]() |
![]() |
![]() |
โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศพระราชกฤษฏีกาออกตามความในประมวลรัษฏากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฏากร (ฉบับที่ 598) พ.ศ. 2559 ให้เพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายจ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็น 3 เท่าของรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง (ยกเว้นภาษี 300%) โดยกำหนดระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์เป็นเวลา 5 ปี โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 จนถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ มาตรการภาษีดังกล่าว มีการกำหนดวงเงินการใช้สิทธิในการหักค่าใช้จ่าย 3 เท่า หากผู้ประกอบการมีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท จะใช้สิทธิหักรายจ่ายฯ ได้ในวงเงินสูงสุดร้อยละ 60 ของรายได้ แต่หากมีรายได้เกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท หักรายจ่ายฯ ได้อีกร้อยละ 9 และส่วนที่เกิน 200 ล้านบาท หักรายจ่ายฯ ได้เพิ่มเติมอีกร้อยละ 6 โดยทั้งสองกระทรวงฯ ได้ศึกษาแล้วว่า การกำหนดวงเงินอย่างเป็นขั้นบันไดนี้จะเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการทุกขนาด และจะไม่ส่งผลให้กิจการที่ทำวิจัยมากอยู่แล้ว ลดค่าใช้จ่ายวิจัยเพราะถูกจำกัดวงเงินการหักค่าใช้จ่ายฯ มาตรการนี้กำหนดไว้ในระยะเริ่มต้น 5 ปี เพื่อศึกษาถึงผลกระทบว่ามาตรการยกเว้นภาษีจะเป็นไปในทิศทางที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน และอาจพิจารณาขยายระยะเวลาในการให้สิทธิประโยชน์ได้อีกในอนาคต
![]() |
![]() |
สวทช. มีบทบาทเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากกรมสรรพากร ให้ดำเนินการตรวจสอบและรับรองโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชน สำหรับการขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2545 ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการวิจัยฯ ได้รับการรับรองแล้ว จำนวน 2,834 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 9,886 ล้านบาท โดยประเภทอุตสาหกรรมที่ยื่นขอรับรองโครงการวิจัยฯ สูงสุด 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมยาและเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมการก่อสร้างและวัสดุ ตามลำดับ ทั้งนี้จากผลการสำรวจมูลค่าผลกระทบเชิงเศรษฐกิจของโครงการวิจัยที่ได้รับรองจาก สวทช. ในช่วงปีงบประมาณ 2553 - 2558 คิดเป็นมูลค่าผลกระทบฯ รวม 16,489 ล้านบาท หรือสร้างผลกระทบฯ ได้ประมาณ 8 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับภาษีที่ได้รับยกเว้นรวม 2,082 ล้านบาท
![]() |
![]() |
ปัจจุบันประเทศไทยสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ซึ่งดูได้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว ในทุกๆประเทศที่เราไป เราไปในฐานะพันธมิตรและหุ้นส่วนทางทางเศรษฐกิจ เราต้องการดำเนินนโยบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระยะยาว นอกจากนี้แล้วในประเทศต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว
![]() |
นอกจากนี้ สวทช. ยังมีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการพิจารณารับรองโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ 1) การเปิดให้บริการระบบ RDC Online ยื่นขอรับรองโครงการวิจัยผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างความสะดวกรวดเร็ว มีความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล และตรวจสอบติดตามผลได้ง่าย 2) การเพิ่มช่อง ช่องทาง Fast Track ซึ่งสามารถทราบผลการรับรองโครงการภายใน 1 เดือน 3) การจัดหลักสูตรฝึกอบรมการเขียนข้อเสนอโครงการเพื่อขอการรับรองฯ ให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ พร้อมทั้งผลักดันมาตรการทางภาษีที่จะเพิ่มความสามารถด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในภาคเอกชน มุ่งหวังให้เอกชนร่วมมือและให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
![]() |