กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยEnglish
หน้าหลัก
  • ผลงานรัฐบาลรอบ 1 ปี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    หลังจากที่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับมอบหมายให้ดำเนินงานในกลุ่มเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยได้เร่งดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โอท็อป ผู้ประกอบการธุรกิจใหม่และเกษตรกร เน้นการพัฒนากำลังคนและเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มมูลค่าจากการต่อยอดและใช้ประโยชน์งานวิจัยและเทคโนโลยี ตลอดจนวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคตเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และความร่วมมือต่างประเทศที่จะขยายผลการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

    เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
         • FoodInnopolis (ฟู๊ดอินโนโพลิส) หรือโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในซุปเปอร์คลัสเตอร์ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เร่งดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โดยมุ่งเน้นที่จะดึงดูดบริษัทผู้ผลิต หรือวิจัยพัฒนาอาหารชั้นนำของโลกมาลงทุนในกิจการด้านนวัตกรรมอาหารในประเทศไทย และสนับสนุนให้บริษัทเอกชนไทยในทุกระดับตั้งแต่ Startup, SMEs ไปจนถึงบริษัทไทยขนาดใหญ่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก เพื่อยกระดับความสามารถของ Startup และ SMEs ตลอดจนเพิ่มมูลค่า และการจ้างงานแรงงานฐานความรู้ให้เพิ่มมากขึ้น โดยโครงการดังกล่าวพร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2559
         • คูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีเป้าหมายสนับสนุนให้เอสเอ็มอี  340 ราย นำองค์ความรู้หรือผลงานวิจัยมาสร้างนวัตกรรมและนำร่องสร้างต้นแบบเชิงพาณิชย์ ส่งเสริมเครือข่ายผู้ให้บริการนวัตกรรม  500 ราย โดยจัดสรรงบประมาณไว้  515 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าการลงทุนใหม่จากภาคเอกชนอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ในธุรกิจนวัตกรรมไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอีกไม่ต่ำกว่า 2,550 ล้านบาท
         • สร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ หรือ Startup Voucher เพื่อผลักดันธุรกิจให้เข้าสู่กระบวนการ ‘เร่ง’ การเจริญเติบโต 50 ราย โดยให้คำปรึกษา รับการอบรมทั้งด้านการสร้างความคิด การพัฒนา การออกแบบด้านธุรกิจ การสร้างต้นแบบ การศึกษาตลาด การสำรวจตลาด รวมถึงการเชื่อมโยงธุรกิจให้เข้าถึงแหล่งทุนที่เหมาะสม การจัดเวทีประกวดนวัตกรรม ฯลฯ โดยจัดสรรงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท
         • โครงการ “หิ้งสู่ห้าง” 30,000 บาท ทุก IP ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าถึงสิทธิในการใช้ผลงานที่มีการจดสิทธิบัตร 3-5 ปี และมีค่าธรรมเนียมเพียง 30,000 บาท ชำระเมื่อลงนามในสัญญา มีค่าตอบแทนการใช้สิทธิ หรือ Royalty Fee 2% ซึ่งสามารถนำค่าธรรมเนียมมาหักออกได้เมื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว ซึ่งในการดำเนินโครงการนี้ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 58 นี้ มีการลงนามเพื่อใช้สิทธิเทคโนโลยี 72 ชิ้นจาก 82 ชิ้น โดยปี 2559 ตั้งเป้าใช้งบประมาณเพียง 5 ล้านบาทแต่จะก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ถึง 960 ราย
         • ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน  986 ล้านบาท  เพื่อสร้างขีดความสามารถและสร้างความเป็นเลิศของเอสเอ็มอี โดยอาศัยกลไกเครือข่ายมหาวิทยาลัย และขยายการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรือ ITAPเพื่อสร้างความเข้มแข็งโดยแก้ไขปัญหาการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้เอสเอ็มอี ได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์เดิม หรือ พัฒนาให้ได้ระบบมาตรฐาน โดยให้การสนับสนุนเอสเอ็มอีที่เข้ารับคำปรึกษาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยี ไปทั้งสิ้น 4,425 ราย
         • ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการโอท็อป ด้วย วทน. 5 ภูมิภาค โดยบูรณาการงานร่วมกับจังหวัดเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการโอท็อปและผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการจัดระบบการสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของประกอบการ วทน. ที่ครอบคลุมการจัดระบบพี่เลี้ยง ที่ปรึกษาเทคโนโลยี เชื่อมโยงการบริการด้านการตลาดและการเงิน โดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมกว่า 330 ราย และได้ดำเนินการยกระดับวิสาหกิจชุมชนและเอสเอ็มอี ไปแล้วกว่า 100 ราย
         • ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมร้อยละ 300 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจะมีการลดหย่อนภาษีส่งเสริมวิจัยและพัฒนาจาก 200% เป็น 300% ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยรวมให้ได้ 1% ของจีดีพี รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาของเอกชนกับภาครัฐ เป็น 70 ต่อ 30

    วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคต
         • Talent Mobility (ทาเลนท์โมบิลิตี้) เพื่อแก้ปัญหาการกระจุกตัวขององค์ความรู้ที่อยู่กับบุคลากรในภาครัฐ ให้สามารถถ่ายทอดไปสู่ภาคเอกชนได้ โดยจูงใจให้นักวิจัยในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐสามารถไปปฏิบัติราชการในภาคเอกชน ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก หรือ Clearing House แล้ว 5 แห่ง กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายนักวิจัยแล้ว 111 คน ผู้ช่วยนักวิจัย 77 คน ใน 51 โครงการและจาก 47 บริษัท ทั้งนี้ มีบริษัทได้รับการวินิจฉัยปัญหาและวิเคราะห์ความตัองสนับสนุนด้าน วทน. แล้ว 1,125 บริษัท อยู่ระหว่างการจับคู่ 134 โครงการ
         • บัญชีนวัตกรรม โดยรวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมที่พัฒนาโดยคนไทย และได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมในประเทศหรือมาตรฐานสากลแล้ว โดยปัจจุบันมีสินค้าและบริการขอเข้ารับการขึ้นทะเบียนแล้วถึง 1,322 รายการ และยังเปิดให้บริการกับผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์ www.innovation.go.th ทั้งนี้ สิ่งที่ วท. ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การพัฒนาบุคลากรควบคู่ไปกับพัฒนาเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมสนับสนุนภายในประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของเมกะโปรเจ็กต์ด้านระบบขนส่งทางรางอีกทั้งยังได้ปฏิรูประบบฐานข้อมูลเพื่อทรัพยากรโดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อดูแลการจัดสรรทรัพยากรของประเทศ รวมถึงวางแผนป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งการใช้เทคโนโลยีอวกาศและการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
         • ฐานข้อมูลห้องปฏิบัติการเพื่อการรับรองมาตรฐานและคุณภาพ สำหรับการบริการภาคอุตสาหกรรม โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบมาตรฐานจาก 10 กระทรวงโดยได้เชื่อมโยงฐานข้อมูลและทดสอบการให้บริการของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ผ่านเว็บไซต์ onestop.most.go.th ทั้งนี้จะสามารถเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์จากการจัดระบบข้อมูลการรับรองมาตรฐานทั้งทางด้านอุตสาหกรรม (มอก.) ด้านการเกษตร (มกอช.) ด้านอาหาร (อย.) ฯลฯ เป็นการให้บริการแบบครบวงจร สามารถทำรายการส่งตัวอย่างทดสอบ และตรวจสอบติดตามการให้บริการผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์เดียว โดยจะเปิดตัวให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้น สามารถใช้บริการได้ทั้งช่องทางเว็บไซต์ onestop.most.go.th หากไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ ก็ยังคงสามารถติดต่อกับหน่วยงานโดยตรงเพื่อส่งตัวอย่างทดสอบ สอบเทียบได้ตามปกติ และในอนาคตจะช่องทาง onestop.most.go.th จะเป็นช่องทางหลักของการให้บริการเพียงช่องทางเดียว 
         • เครือข่ายบริหารจัดการน้ำชุมชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 60 เครือข่าย ใน 19 ลุ่มน้ำ และได้รับการขยายผลสู่หมู่บ้านอื่นๆ อีก 543 หมู่บ้าน โดยการนำความรู้ไปให้ชาวบ้านได้เรียนรู้วิธีการบริหารจัดการน้ำโดยใช้แผนที่ดาวเทียม ข้อมูลระบบโทรมาตรและเทคโนโลยีสารสนเทศจาก www.thaiwater.net เพื่อการบริหารจัดการน้ำในชุมชน รวมถึงการพัฒนาตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ การแปรรูปสินค้าทางการเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อันเป็นการสร้างรายได้ให้กับพื้นที่
         • เทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการในการแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน การบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ตลอดจนน้ำท่วมน้ำแล้ง ขณะเดียวกันยังใช้ดาวเทียมเพื่อการพัฒนา โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กำลังดำเนินการจัดหาดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนาดวงที่สอง รองรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในระดับประเทศถึงระดับพื้นที่ ตลอดจนการบูรณาการการใช้ดาวเทียมเพื่อการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
         • สร้างความร่วมมือต่างประเทศเชิงยุทธศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีความร่วมมือกับหลาย ๆ ประเทศ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงความร่วมมือในอนาคตอันใกล้ อาทิ ญี่ปุ่น โดยมีความร่วมมือด้านการสนับสนุนทุนทางด้านพัฒนานโยบาย และจากการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการหารืออันจะนำไปสู่ความร่วมมือใน 3 ด้านหลักคือ 1. จัดตั้ง Climate Change Technology Transfer Center  2. จัดตั้งสถาบันวิจัยนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และ 3. จัดตั้ง National Space Program อีกประเทศที่มีความสัมพันธ์ยาวนานคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีความร่วมมือด้าน วทน. เพื่อการพัฒนาภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก และกำลังขยายผลความร่วมมือด้านอวกาศ โซลาเซลล์ ยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ สำหรับสหพันธรัฐรัสเซีย กำลังจัดทำความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนบุคคลากรวิจัย ใน 5 สาขา ได้แก่ 1. สาขาเทคโนโลยีนาโน 2. สาขาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ 3. สาขาเทคโนโลยีอวกาศ 4. สาขามาตรวิทยา และ 5. สาขาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และสำหรับสหราชอาณาจักร โดยมีกองทุนความร่วมมือนิวตัน ภายใต้วงเงินสนับสนุน 82.5 ล้านบาท เพื่อการวิจัยร่วมและการสร้างนวัตกรรม ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านเช่น สปป.ลาว มีความร่วมมือด้าน วทน. ครอบคลุม 14 สาขา ที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน นอกจากนั้นยังมีอีกหลายประเทศที่อยู่ระหว่างการหารือและจะมีความร่วมมือให้แน่นแฟ้นขึ้นในอนาคต ได้แก่ อียู สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส เกาหลี  และประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นต้น   
     

หน่วยงานในสังกัดกระทรวง
สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวง กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน(องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน)

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป